กลุ่มอุตสาหกรรม พลังงานหมุนเวียน

Published

17 กุมภาพันธ์ 2564

SCC เล็งนำพลังงานทดแทนมาใช้ลดต้นทุน หลังราคาน้ำมันพุ่งและบาทแข็งค่ากดดันผลประกอบการ ส่วนแนวโน้มธุรกิจปี 64 เชื่อยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ยังมีความต้องการสูง พร้อมรุกขยายลงทุนในเวียดนาม-อินโดฯ-ฟิลิปปินส์ เหตุตลาดยังโตดี

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยในงานแถลงข่าว“กลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี ปี64”ว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนจนถึงปัจจุบันและแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทค่อนข้างมาก

เนื่องจากราคาน้ำมันถือเป็นต้นทุนหลักในการผลิต โดยเฉพาะของธุรกิจเคมิคอลส์ ประกอบกับบริษัทมีการส่งออกสินค้าค่อนข้างมาก ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจึงมีผลทำให้รายได้ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนที่จะลงทุน โดยการนำเอาพลังงานทดแทนมาใช้ในการผลิตและบริหารจัดการซัพพลายเซนให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนและทำให้สินค้าของบริษัทเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แนวโน้มของธุรกิจในปี 64 บริษัทจะมุ่งดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ตลอดกระบวนการทำงาน โดยพร้อมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ด้วยการให้ความสำคัญกับการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ และการลงมือปฏิบัติให้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการเติบโตระยะยาว

ขณะที่มองว่าธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ยังมีความต้องการจากลูกค้าที่ยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างคาดว่าแม้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยและโรงแรมอาจยังต้องเหนื่อย แต่จะได้ในเรื่องของโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่ยังขับเคลื่อนต่อได้ ซึ่งบริษัทก็ต้องปรับตัวและพัฒนาสินค้าที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ธุรกิจเคมิคอลส์คาดว่าส่วนหนึ่งยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่บางส่วนก็ได้รับอานิสงส์จากส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือการแพทย์และยานยนต์ที่ยังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ส่วนโอกาสการลงทุนในต่างประเทศนั้น บริษัทมีเป้าหมายการลงทุนหลักๆในประเทศเวียดนาม และบางส่วนในประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟิลิปปินส์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเชื่อว่ายังมีศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเวียดนามที่คาดว่าปีนี้จีดีพียังขยายตัวสูงและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่มากนัก ซึ่งล่าสุดโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 70% และคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตได้ภายในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้กรณีมีการทำรัฐประหารในประเทศเมียนมา บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยเบื้องต้นจะเน้นในเรื่องความปลอดภัยของพนักงานเป็นจุดสำคัญ หลังปัจจุบันมีจำนวนพนักงานรวมกันประมาณ 2 พันคน และส่วนใหญ่เป็นคนสัญชาติเมียนมา

Source : อีไฟแนนซ์ไทย